วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

ข้าว...เมล็ดน้อยร้อยพันค่า
“กินข้าวมาหรือยังจ๊ะ?” ประโยคคำถามซึ่งนิยมใช้ควบคู่กับคำทักทายของคนไทยเราเสมอมา บอกให้รู้ถึงความผูกพันอันเหนียวแน่นระหว่างวัฒนธรรมการกินอยู่ของคนไทยและเมล็ดธัญพืชขนาดเล็กซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ
ในอดีตกาล มนุษย์ค้นพบวิธีปลูกข้าวด้วยการทำไร่เลื่อนลอย เมื่อประมาณ 10,000 ปีมาแล้ว ต่อมาจึงรู้จักวิธีทำนาหว่านและในที่สุดพัฒนาสู่การทำนาแบบปักดำซึ่งให้ผลผลิตที่ดีกว่า จนปัจจุบันข้าวเป็นอาหารหลักของคนเกือบทั่วโลกก็ว่าได้ ประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียบริโภคข้าวเป็นหลัก โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งมีผลผลิตข้าวมากจนเป็นสินค้าส่งออกในอันดับต้นๆ


ชาวไทยมีความผูกพันกับข้าวมาตั้งแต่สมัยโบราณ เห็นได้จากความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ ที่สืบต่อกันมา เช่น พิธีแรกนาขวัญ พิธีทำขวัญข้าว พิธีขอฝน ที่เชื่อว่าเป็นการขอให้ผลผลิตข้าวอุดมสมบูรณ์ดี
นอกจากเราจะกินข้าวกันทั้งที่เป็นเมล็ดแล้ว ยังสามารถแปรรูปข้าวเพื่อทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากข้าวได้อีก เช่นโม่ข้าวให้เป็นแป้งเพื่อใช้หมักเป็นน้ำส้มสายชู เหล้าสาเก ล้วนแต่ทำจากข้าวทั้งนั้นและนี่เป็นตัวอย่างของข้าวที่เรากินกันอยู่เป็นประจำ
ข้าวหอมมะลิ

คนไทยคุ้นเคยกับข้าวหอมมะลิที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวพันธุ์นี้กันดี เมื่อหุงสุกร้อนๆ กินคู่กับแกง จะสุขใจอย่างไทยแท้เลยทีเดียว ข้าวหอมมะลิเป็นสายพันธุ์ข้าวที่มีถิ่นกำเนิดในไทย มีกลิ่นหอมคล้ายใบเตย เมล็ดขาวเรียวยาวสวย เป็นพันธุ์ข้าวที่ปลูกที่ไหนในโลกก็ไม่ได้คุณภาพดีเท่ากับปลูกในไทย และเป็นพันธุ์ข้าวที่ทำให้ข้าวไทยเป็นสินค้าส่งออกที่รู้จักไปทั่วโลก ข้าวหอมมะลิต้องผ่านกระบวนการกะเทาะเปลือกแล้วสีให้ขาว ทำให้ได้ข้าวหอมมะลิหุงสุกที่นิ่ม แต่วิตามินและเกลือแร่ก็จะสูญเสียไปด้วย การรักษาความหอมของข้าวหอมมะลิให้คงอยู่นานควรเก็บข้าวไว้ในที่เย็น อุณหภูมิประมาณ 15 องศาเซลเซียส
ข้าวกล้อง


คือข้าวเปลือกที่ผ่านการขัดสีเพื่อเอาแกลบ (เปลือกข้าว) ออกเพียงครั้งเดียว จึงยังคงเหลือจมูกข้าวอยู่ ข้าวกล้องอุดมไปด้วยวิตามิน เส้นใยอาหารและแร่ธาตุที่ยังคงเต็มเปี่ยมมากกว่าข้าวขัดขาว ข้าวกล้องมีสีน้ำตาลขุ่น กลิ่นหอม เมื่อหุงสุกจะรู้สึกว่ามีเยื่อหุ้มบางๆ ที่เมล็ดข้าว เคี้ยวกรุบๆ ส่วนเนื้อเมล็ดข้าวนั้นนุ่ม ดังนั้นเวลาหุงต้องใช้น้ำปริมาณมากกว่า ซึ่งอาจจะย่นระยะเวลาด้วยการแช่ข้าวกล้องค้างคืนไว้ก่อนหุง สำหรับมือใหม่ที่คิดว่าข้าวกล้องเมล็ดหยาบกว่ากินยาก อาจหุงข้าวกล้องผสมกับข้าวขาวเพื่อสร้างความคุ้นเคยก่อนก็ได้
ข้าวซ้อมมือ




เป็นข้าวที่ได้จากวิธีการขัดสีข้าวแบบโบราณ โดยการนำข้าวเปลือกมาสีเปลือกออกโดยใช้ครกตำข้าว จากนั้นฝัดข้าวด้วยกระด้งเพื่อแยกเปลือกออก วิธีแบบชาวบ้านนี้จะทำให้ได้ข้าวซ้อมมือที่หุงง่ายและนุ่มกว่าข้าวกล้อง แต่จะเก็บได้ไม่นานเท่าข้าวขัดขาว เพราะมีปริมาณไขมันมากกว่า
ข้าวมันปูหรือข้าวแดง


คือข้าวกล้องพันธุ์ที่มีเยื่อสีแดงหุ้มเมล็ดข้าวเรียกว่า “ข้าวมันปู” มีวิตามินเอสูงกว่าข้าวพันธุ์อื่น ส่วนข้าวแดงพันธุ์ “สังข์หยด” จะเป็นพันธุ์ที่อ่อนนุ่ม มีกลิ่นและรสที่ดี
ข้าวเหนียวเขี้ยวงู



เป็นข้าวเหนียวพันธุ์ยอดนิยม เพราะมีเมล็ดเรียวยาวเหมือนเขี้ยวงู สีขาวขุ่น เมื่อนึ่งสุกแล้วเมล็ดข้าวจะเหนียวใส เกาะตัวกันดี ข้าวเหนียวเขี้ยวงูนี้มักกินกับอาหารพื้นบ้านของทางภาคเหนือและภาคอีสาน ใช้ทำขนมหรือของว่าง เช่น ข้าวหลาม ข้าวเหนียวมูน ข้าวเหนียวแก้ว นางเล็ด บ๊ะจ่าง เป็นต้น
ข้าวเหนียวดำ




เป็นข้าวเหนียวอีกพันธุ์หนึ่ง มีสีม่วงเข้มออกดำ เนื้อแข็ง ไม่เหนียวติดกันมากเหมือน

ข้าวเหนียวขาว

ใช้ทำขนมหวาน เช่น ข้าวเหนียวมูน ข้าวเหนียวเปียก
ข้าวญี่ปุ่น


ลักษณะเมล็ดอ้วนสั้น สีขุ่น และเหนียวนุ่มติดกันเมื่อสุก ทำให้สามารถใช้ตะเกียบคีบข้าวเป็นคำเข้าปากได้ง่าย และเหมาะสำหรับทำข้าวปั้น ซูชิต่างๆ ได้ดี ถ้าจะทำซูชิแล้วหาข้าวญี่ปุ่นเมล็ดสั้นไม่ได้ อาจจะใช้ข้าวสวยหุงปนข้าวเหนียวก็ได้
ข้าวปรุงรส ปัจจุบันมีการปรุงแต่งรสชาติ กลิ่น สีสัน คุณค่าให้กับข้าวเพิ่มมากขึ้น ทั้งข้าวสมุนไพรที่ผสมสีจากดอกอัญชัน ใบเตย หรือขมิ้นชัน ข้าวรสต้มยำ ข้าวรสกะเพรา ข้าวรสซีฟู้ด ข้าวรสผักรวม ข้าวรสแกงเขียวหวาน ข้าวธัญพืชต่างๆ ที่ผสมธัญพืชเมล็ดแห้งลงในข้าวสารให้พร้อมหุงแล้วสุกทันที นับเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนที่เบื่อข้าวหรือไม่ชอบความจำเจ อยากจะลองรสชาติแปลกใหม่บ้าง
ข้าวเป็นอาหารหลักของชาวไทยและชาวเอเชีย คนไทยภาคกลางและภาคใต้กินข้าวเจ้ากับกับข้าวมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ส่วนภาคเหนือและภาคอีสานนิยมกินข้าวเหนียวกับกับข้าวต่างๆ เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวต่างก็ให้คาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก ซึ่งคาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี นอกจากนี้ยังให้วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ อีกด้วย
ข้าวถือเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของคนไทยทีเดียว เพราะเรากินข้าวเป็นอาหารหลัก ข้าวที่นิยมปลูกในเมืองไทย มีมากมายหลากหลาย มีทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว เฉพาะข้าวเจ้ายังมีข้าวมันปู ข้าวหอมมะลิ ข้าวเสาไห้ เป็นต้น ข้าวหอมมะลิและข้าวเสาไห้เป็นชื่อของพันธุ์ข้าว ส่วนข้าวเหนียวก็มีทั้งข้าวเหนียวดำ ข้าวเหนียวขาว ข้าวชนิดใดก็ตามที่ผ่านการขัดสีเพียงครั้งเดียวเพื่อเอาเปลือกออก เราเรียกว่า ข้าวกล้อง ส่วนข้าวซ้อมมือเป็นข้าวที่ได้จากการตำ เนื่องจากสมัยก่อนไม่มีเครื่องสีข้าว คนไทยโบราณจึงมีวิธีเอาเปลือกข้าวออกโดยวิธีการตำ ซึ่งนอกจากเปลือกข้าวจะหลุดออกแล้ว ส่วนอื่นๆ เช่น จมูกข้าว อาจหลุดลอกออกได้บ้าง ทั้งข้าวกล้องและข้าวซ้อมมือ จึงให้คุณค่าอาหาร
สูงกว่าข้าวที่ขัดสีจนขาว แต่คนไทยไม่นิยม โดยให้เหตุผลว่าหุงยาก แข็ง สีสันไม่ขาว ไม่น่ากิน คนส่วนใหญ่นิยมกินข้าวที่ขัดสีจนขาว ซึ่งคุณค่าต่างๆ ได้หลุดหายไปในระหว่างการขัดสีแล้ว ส่วนข้าวมันปูเป็นชนิดของข้าว ซึ่งให้มีลักษณะข้าวสีแดงหรือสีน้ำตาลแดง บางคนจึงเรียกข้าวมันปูว่า “ข้าวแดง” และคนทั่วไปมักเข้าใจผิดคิดว่าข้าวมันปูให้คุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าข้าวชนิดอื่น เพราะมีสีสันมากกว่า ซึ่งข้าวแดงนี้มีไขมันสูงกว่าข้าวชนิดอื่นๆ และมีสารเบตา-แคโรทีนที่มีประโยชน์ คือร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้ และในปัจจุบันนักวิชาการพบว่าเบตา-แคโรทีนยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น ซึ่งนอกจากพบในข้าวมันปูแล้ว ยังมีมากในผักผลไม้สีเขียวเข้มและสีส้มแดง ดังนั้นการบริโภคอาหารที่มีเบตา-แคโรทีนเป็นประจำจึงเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอย่างยิ่ง
คนไทยรุ่นใหม่กินข้าวน้อยลง แต่บริโภคอาหารที่ให้โปรตีนมากขึ้น ได้แก่ อาหารประเภทเนื้อสัตว์ต่างๆ ซึ่งรูปแบบการกินดังกล่าวไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพนัก เพราะทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น โดยได้มีการศึกษาวิจัยยืนยันว่ารูปแบบการกินอาหารแบบดั้งเดิมของคนไทยเป็นรูปแบบการกินที่ถูกต้อง ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อสุขภาพ นั่นคือการกินข้าวกับกับข้าวเป็นสำรับ กับข้าวก็ประกอบด้วยอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นเนื้อปลา หากเป็นเนื้อสัตว์ใหญ่ เช่น หมู เนื้อ หรือไก่ ก็จะหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ทำให้ได้รับโปรตีนไม่มากเกินไป ซึ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพ แต่จากการรับอิทธิพลจากชาติตะวันตกเข้ามา ทำให้คนรุ่นใหม่นิยมอาหารตะวันตกที่มีการกินเนื้อสัตว์เป็นชิ้นใหญ่ๆ มีผักน้อย กินขนมปังแทนข้าว
จากโภชนบัญญัติ 9 ประการ ซึ่งเป็นข้อแนะนำที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำประชาชนทั่วไปในเรื่องการกินอาหารเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี มีข้อแนะนำข้อหนึ่งว่าควรกินข้าวเป็นประจำ โดยคนทั่วไปควรกินข้าววันละ 8-12 ทัพพี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเพศ วัย อาชีพ ตลอดจนกิจกรรมต่างๆ คือถ้าเป็นผู้หญิงในวัยทำงานที่ไม่ต้องใช้แรงงานมาก เช่น ทำงานนั่งโต๊ะ อาจกินข้าววันละ 8 ทัพพี ก็เพียงพอแล้ว คือกินมื้อละ 2-3 ทัพพี แต่ถ้าเป็นผู้ชายที่ทำงานหนัก ใช้แรงงาน เช่น กรรมกรก็ต้องกินข้าวถึงวันละ 12 ทัพพี นั่นคือมื้อละ 4 ทัพพี ซึ่งอันที่จริงแล้วคนไทยติดนิสัยชอบกินข้าว บางคนที่ต้องไปอยู่ต่างประเทศ แม้ข้าวมีราคาแพงก็ต้องซื้อหามากิน หรือแม้แต่คนไทยที่อยู่เมืองไทยเอง บางครั้งกินแต่ก๋วยเตี๋ยวหรือขนมปังก็จะรู้สึกไม่อิ่มเหมือนว่ายังไม่ได้กินข้าว แต่คนไทยรุ่นใหม่กลับมองเห็นความสำคัญของข้าวน้อยลง
ในส่วนของข้าวเจ้า ข้าวกล้องให้คุณค่าทางโภชนาการสูงที่สุด โดยให้ทั้งโปรตีนและวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวชนิดอื่นๆ หรือหากเปรียบเทียบกับข้าวเหนียวดำ ก็จะเห็นว่าข้าวเหนียวดำให้คุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าข้าวกล้อง แต่หากพิจารณาถึงปริมาณที่กินใน 1 ครั้ง หรือ 1 มื้อนั้นจะเห็นว่า คนเรากินข้าวกล้องมากกว่าข้าวเหนียวดำ เพราะคนไทยกินข้าวเป็นอาหารหลัก แต่กินข้าวเหนียวดำเป็นขนม ดังนั้นการบริโภคต่อครั้งจึงกินข้าวเจ้ามากกว่า
คุณค่าอีกประการหนึ่งของการกินข้าวคือ การได้รับใยอาหาร ในข้าว 100 กรัม ข้าวกล้องมีใยอาหาร 0.7 กรัม ข้าวซ้อมมือมี 0.5 กรัม ข้าวเจ้าโรงสี 0.3 กรัม ข้าวเหนียวขาวไม่มีใยอาหาร ส่วนข้าวเหนียวดำมีใยอาหาร 0.5 กรัม สำหรับขนมปังปิ้ง 100 กรัม ไม่มีใยอาหารเลย ขนมปังปอนด์สีขาวมีเส้นใยอาหารเพียง 0.4 กรัม บะหมี่สุกมีใยอาหาร 0.1 กรัม เส้นก๋วยเตี๋ยวสดมีใยอาหาร 0.5 กรัม ซึ่งใยอาหารช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติและช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ จะเห็นได้ว่าข้าวกล้องมีใยอาหารมากที่สุด แต่ข้าวขาวที่นิยมกินกันมีใยอาหารต่ำ ดังนั้นหากคนไทยนิยมกินข้าวกล้องมากขึ้นก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพมากขึ้น
ตามหลักการโภชนบัญญัติที่แนะนำให้คนไทยกินข้าวเป็นประจำจึงเป็นสิ่งที่เราควรปฏิบัติ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เริ่มเอาใจออกห่างข้าว หันไปสนใจขนมปัง ควรเริ่มทบทวนเรื่องนี้ดูอีกครั้ง ส่วนคนที่นิยมกินข้าวอยู่แล้วก็อยากเชิญชวนให้พิจารณาข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือบ้าง เพราะข้าวเหล่านี้มีจุดเด่นอีกอย่างคือวิตามินบี 1 สูง ซึ่งช่วยป้องกันโรคเหน็บชา บำรุงระบบประสาท แต่เราก็นิยมกินข้าวขาวที่ขัดสีให้ขาวจนวิตามินต่างๆ รวมทั้งวิตามินบี 1 หลุดลอกออกเป็นรำข้าว แล้วเราก็เอารำข้าวไปเลี้ยงหมู เนื้อหมูจึงมีวิตามินบี 1 สูง แต่เรากลับกินข้าวขาวซึ่งวิตามิน แร่ธาตุ และเส้นใยอาหารต่ำ
“ข้าว” จัดเป็นอาหารจานหลักของคนไทย ไม่ว่ามื้อไหนๆ ก็ต้องมีจานข้าวเป็นหนึ่งในสำรับและยังเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศอีกด้วย ถึงแม้ว่าข้าวไทยจะเป็นที่นิยมในตลาดโลก แต่ด้วยการแข่งขันในตลาด ประกอบกับคุณภาพของข้าวจากประเทศอื่นที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ผู้ผลิตต้องเร่งหาวิธีการที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวไทย ซึ่งหนึ่งในวิธีที่ใช้ในการเพิ่มมูลค่าที่กำลังได้รับความนิยมก็คือ การนำพืชสมุนไพรต่างๆ มาผสมผสานจนกลายเป็นนวัตกรรมใหม่ที่เรียกว่า ข้าวเคลือบสมุนไพร คงเริ่มสงสัยแล้วว่าเจ้าสมุนไพรนี่จะไปอยู่ในเมล็ดข้าวได้อย่างไรกัน?
คำตอบคือ “วิธีการเคลือบ” ด้วยการสกัดสมุนไพรชนิดต่างๆ ให้ออกมาในรูปของน้ำมัน จากนั้นนำไปเคลือบลงบนเมล็ดข้าวสาร เพียงเท่านี้ก็ได้เมล็ดข้าวที่มีกลิ่นและสีสันตามชนิดของสมุนไพรที่นำมาเคลือบ รวมถึงยังคงคุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณของสมุนไพรชนิดนั้นๆ นอกจากนี้ข้าวหอมมะลิที่นำมาเคลือบยังเป็นข้าวอินทรีย์ที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีอีกด้วย เรียกว่าทั้งสะอาด ปลอดภัย และเปี่ยมด้วยคุณภาพ
ข้าวเคลือบสมุนไพรตามท้องตลาดบ้านเรามีให้เลือกมากมายหลาย ชนิดด้วยกันคือ กระเจี๊ยบแดง กระเทียม ขมิ้น ใบเตย พริก แครอท ดอกอัญชัน บีทรูท ชาเขียวใบหม่อน และชาเขียวญี่ปุ่น ซึ่งสี กลิ่น และคุณค่าก็มีความแตกต่างกันไปตามชนิดของสมุนไพรจะยังคงอยู่อย่างครบถ้วน แม้จะผ่านการปรุงจนสุกแล้วก็ตาม
ข้าวสมุนไพรกระเจี๊ยบแดง
เป็นข้าวสารสีม่วงแดง เมื่อหุงสุกจะมีสีม่วงอ่อนอมขาว และมีสาระสำคัญอย่างโพลีฟีนอลซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและป้องกันมะเร็ง ลดความดันและไขมันในเส้นเลือด ขับเสมหะ ช่วยขับปัสสาวะ และป้องกันนิ่ว
ข้าวสมุนไพรกระเทียม เป็นเมล็ดข้าวสารสีขาวอมเหลือง เมื่อหุงสุกแล้วมีสีขาวอมเหลือง มีสาระสำคัญอย่างอัลลิซินช่วยลดความดันและไขมันในเส้นเลือด, สารเมทิลแออิล ไตรซัลไฟด์ ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และเซเลเนียมช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

ข้าวสมุนไพรขมิ้นชัน เป็นข้าวสารสีเหลือง เมื่อหุงสุกมีสีเหลืองอ่อนๆ มีสารสำคัญอย่างเคอร์คิวมินป้องกันการเกิดโรคกระเพาะอาหาร ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยขับน้ำดี รักษาโรคนิ่วในถุงน้ำดี และป้องกันโรคมะเร็ง
ข้าวสมุนไพรใบเตย


เป็นข้าวสารสีเขียวอ่อน เมื่อหุงสุกมีสีเขียวอ่อนอมขาวช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือด หัวใจอุดตันและบำรุงหัวใจ ลดอาการกระหายน้ำ เป็นยาขับปัสสาวะ และรักษาโรคเบาหวาน
ข้าวสมุนไพรพริก เป็นข้าวสารสีส้ม เมื่อหุงสุกจะมีสีส้มอ่อนอมขาว มีสาระสำคัญ Capsaicinoid ช่วยทำให้กระบวนการเผาผลาญไขมันในร่างกายทำงานได้ดียิ่งขึ้น ลดไขมัน ลดความอ้วน และพริกยังช่วยขยายหลอดเลือดทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น รวมไปถึงป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
ข้าวสมุนไพรแครอท เป็นข้าวสารสีส้ม เมื่อหุงสุกมีสีส้มอ่อนอมขาว มีสารพิเศษ 3 ชนิด ที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง ได้แก่ เบตา-แคโรทีน ร่างกายจะย่อยสารชนิดนี้เป็นวิตามินเอ นอกจากช่วยบำรุงสายตาแล้ว วิตามินเอจากสารนี้ยังทำหน้าที่เป็นแอนติออกซิแดนต์ ซึ่งช่วยป้องกันโรคมะเร็งอีกด้วย, แอลฟาแคโรทีน มีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคมะเร็งมากกว่าเบตา-แคโรทีน ถึง 10 เท่า, ไฟโตเคมิคอล ช่วยชะลอและยับยั้งความเสื่อมของอวัยวะสำคัญในร่างกายอันนำไปสู่การเกิดมะเร็งได้ นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์เพกตินซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลได้
ข้าวสมุนไพรดอกอัญชัน เป็นข้าวสารสีม่วงเข้ม เมื่อหุงสุกมีสีม่วงเข้ม ช่วยรักษารากผมและบำรุงเส้นผม แก้พิษต่างๆ และบำรุงสายตา
ข้าวสมุนไพรบีทรูท เป็นข้าวสารสีแดงปนส้มอ่อน เมื่อหุงสุกเมล็ดข้าวมีสีแดงปนส้มอ่อน มีสารพิเศษเฉพาะคือ เบทานิน ที่เอื้อประโยชน์ในการรักษาโรคมะเร็ง นอกจากนี้หัวบีตรูตยังมีสารโพแทสเซียมสูง และเป็นแหล่งน้ำตาลธรรมชาติซึ่งย่อยสลายง่ายและดูดซึมได้เร็ว นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย บำรุงเลือด และทำให้เลือดไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ในร่างกายได้ดี บำรุงไตและถุงน้ำดี รวมถึงเป็นอาหารล้างพิษชั้นยอด
ข้าวสมุนไพรชาเขียวใบหม่อน เป็นข้าวสารสีเขียวอ่อน เมื่อหุงสุกมีสีเขียวอ่อน ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง, สาร GABA (Gamma Amino Butyric Acid) ช่วยลดความดันเลือด และช่วยลดคอเลสเตอรอล ป้องกันการจับตัวของลิ่มเลือด
ข้าวสมุนไพรชาเขียวญี่ปุ่น เป็นข้าวสารสีเขียวอ่อน เมื่อหุงสุกมีสีเขียวอ่อน มีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยต้านมะเร็ง ช่วยชะลอความแก่ รวมถึงช่วยลดคอเลสเตอรอล
ใครว่าการดูแลสุขภาพเป็นเรื่องยุ่งยาก ตอนนี้ง่ายขึ้นแล้วด้วยของง่ายๆ ใกล้ตัว เพียงข้าว 1 เมล็ด ที่อัดแน่นด้วยสมุนไพรก็ช่วยทำให้สุขภาพดีได้

“ก๋วยเตี๋ยว” นับว่าเป็นอาหารยอดนิยมของคนไทยรองจากข้าว ซึ่งเป็นอาหารหลักที่คนไทยนิยมกินเป็นประจำทุกวัน คำว่า “ก๋วยเตี๋ยว” มักเป็นคำรวมเรียกอาหารที่มีลักษณะเป็นเส้น ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ เส้นหมี่ หรือบะหมี่ เห็นได้จากการที่เราไปกินอาหารประเภทเส้นก็มักจะพูดว่า “ไปกินก๋วยเตี๋ยว” ทั้งๆ ที่อาหารที่ไปกินอาจเป็นบะหมี่หรือเส้นหมี่ก็ตาม
อาหารประเภทเส้นเหล่านี้ทำมาจากวัตถุดิบประเภทข้าว ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก ก๋วยเตี๋ยวเส้น ใหญ่ เส้นหมี่ ทำจากแป้งข้าวเจ้า ส่วนบะหมี่ทำจากแป้งข้าวสาลี ดังนั้นคุณค่าทางโภชนาการหลักที่ได้รับจากการกินอาหารเส้นนี้ก็คือ “คาร์โบไฮเดรต” ซึ่งจะให้พลังงานแก่ร่างกาย นอกจากนี้ยังได้รับสารอาหารชนิดอื่นๆ อีกเล็กน้อย เช่น โปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ
ก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารที่คนไทยนิยมบริโภคเป็นอาหารกลางวัน ซึ่งรูปแบบของก๋วยเตี๋ยวก็มีทั้งก๋วยเตี๋ยวแห้ง ก๋วยเตี๋ยวน้ำ ตลอดจนก๋วยเตี๋ยวผัด ส่วนประกอบหลักของก๋วยเตี๋ยวชนิดต่างๆ ก็มีเหมือนกัน คือเส้นก๋วยเตี๋ยว ผัก และเนื้อสัตว์ สำหรับก๋วยเตี๋ยวแห้ง และก๋วยเตี๋ยวน้ำ มักเรียกชื่อตามชนิดเนื้อสัตว์ที่ใช้ จึงมีก๋วยเตี๋ยวหมู ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ก๋วยเตี๋ยวไก่ ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ก๋วยเตี๋ยวปลา ฯลฯ ผักที่นิยมใส่ในก๋วยเตี๋ยวมีทั้ง ถั่วงอก กวางตุ้ง คะน้า ผักกาดหอม ถั่วฝักยาว นิยมใส่ในก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย ซึ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวหมูชนิดหนึ่ง ส่วนกวางตุ้งนิยมใส่ในบะหมี่เกี๊ยวหมูแดง คะน้าพบได้ในก๋วยเตี๋ยวเป็ด ส่วนก๋วยเตี๋ยวผัดนิยมใส่คะน้าในเมนูผัดซีอิ๊วและราดหน้า สำหรับผักกาดหอมใส่ในก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ ถั่วงอกใช้กันมากในก๋วยเตี๋ยวผัดไทย
นอกจากส่วนประกอบหลักข้างต้นแล้วที่ขาดไม่ได้อีกอย่างคือน้ำมัน ซึ่งทำเป็นน้ำมันกระเทียมเจียวสำหรับใส่ในก๋วยเตี๋ยวแห้งและก๋วยเตี๋ยวน้ำ สำหรับก๋วยเตี๋ยวผัดจะใช้น้ำมันในปริมาณมากกว่าการปรุงก๋วยเตี๋ยวแห้งและก๋วยเตี๋ยวน้ำ นอกจากนี้ที่ขาดไม่ได้ในการทำก๋วยเตี๋ยวคือเครื่องปรุงรส ไม่ว่าจะเป็นน้ำปลา น้ำตาล และพริก
ก๋วยเตี๋ยวแต่ละชนิดที่ปรุงเสร็จแล้วจะให้คุณค่าทางโภชนาการครบทั้ง 5 หมู่ คือให้สารอาหารโปรตีนจากเนื้อสัตว์และไขที่เติมลงไป คาร์โบไฮเดรตจากเส้นก๋วยเตี๋ยวและน้ำตาล วิตามินและแร่ธาตุจากผักและเนื้อสัตว์ ไขมันจากน้ำมัน แต่ทั้งนี้ก๋วยเตี๋ยวชนิดต่างๆ ต้องปรุงด้วยวัตถุดิบที่ครบถ้วน ตัวอย่างเช่น ถ้ากินก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่ผัก ก็จะไม่ได้รับวิตามินและแร่ธาตุบางชนิด และก๋วยเตี๋ยวบางชนิด เช่น ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ซึ่งมีผักแนมหลายอย่างทั้งหัวปลี ใบบัวบก กุยช่าย หากกินผักเหล่านี้ด้วยก็จะทำให้ได้รับวิตามินและแร่ธาตุมากขึ้น
พลังงานที่ได้รับจากก๋วยเตี๋ยวจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับส่วนประกอบต่างๆ ในก๋วยเตี๋ยวนั้น ก๋วยเตี๋ยวที่ให้พลังงานสูง ได้แก่ ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยและก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว เพราะใช้น้ำมันในการผัดมากกว่าก๋วยเตี๋ยวอื่นๆ อีกทั้งยังใส่ไข่ด้วย ด้านรสชาติออกหวาน พลังงานที่ได้รับจึงค่อนข้างสูง ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยและก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว 1 จาน ให้พลังงาน 600-680 กิโลแคลอรี ในขณะที่ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าให้พลังงาน 350 กิโลแคลอรี คนที่อ้วนหรืออยู่ระหว่างการเฝ้าระวังเรื่องน้ำหนักตัวจึงไม่ควรกินบ่อย ควรเลือกกินอาหารชนิดอื่นหรือก๋วยเตี๋ยวอื่นที่ให้พลังงานน้อยกว่าแทน
ก๋วยเตี๋ยวแห้งให้พลังงานสูงกว่าก๋วยเตี๋ยวน้ำ เพราะในกระบวนการปรุงก๋วยเตี๋ยวต้องใช้น้ำมันกระเทียมเจียวคลุกเคล้ากับเส้นที่ลวกแล้วเพื่อป้องกันเส้นติดกัน หากไม่คลุกน้ำมันกระเทียมเจียวก็จะไม่อร่อย กินแล้วฝืดคอ จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ก๋วยเตี๋ยวแห้งมีพลังงานสูง ดังนั้นคนที่กลัวหรือระวังไม่ให้อ้วนหรืออ้วนแล้ว จึงควรเลือกกินก๋วยเตี๋ยวน้ำมากกว่าก๋วยเตี๋ยวแห้ง แต่ทั้งนี้ต้องใส่น้ำมันกระเทียมเจียวไม่มากนักเพื่อไม่ต้องได้รับพลังงานมากเกินไป
สิ่งหนึ่งที่ควรระวังในการกินก๋วยเตี๋ยวคือการปรุงรส คนส่วนใหญ่มักปรุงรสก๋วยเตี๋ยวโดยไม่ชิมก่อน ทำให้ได้ก๋วยเตี๋ยวที่มีรสจัดเกินไป โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยวต้มยำ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเค็มจัด หวานจัด หรือเปรี้ยวจัดก็ตาม ดังนั้นจึงควรชิมก่อนปรุงทุกครั้งเพื่อไม่ต้องกินอาหารรสจัดมากเกินไป นอกจากนี้นักวิชาการพบว่าโรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคหนึ่งที่มีสาเหตุมาจากการกินอาหารรสเค็มจัดเป็นประจำ ซึ่งเมื่อลดการกินอาหารรสเค็มก็จะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้
การเติมถั่วลิสงป่นลงในก๋วยเตี๋ยว ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำ ก๋วยเตี๋ยวแห้ง หรือก๋วยเตี๋ยวผัดก็ตาม ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการได้รับสารพิษอะฟลาท็อกซิน ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งตับ โดยสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เก็บตัวอย่างก๋วยเตี๋ยวต้มยำจากกรุงเทพฯ และปริมณฑลมาตรวจหาอะฟลาท็อกซิน ปรากฏว่าพบสารพิษดังกล่าวถึง 92 เปอร์เซ็นต์ คือก๋วยเตี๋ยว 100 ชาม พบว่ามีอะฟลาท็อกซินสูงถึง 92 ชาม นอกจากนี้ยังพบในก๋วยเตี๋ยวผัดไทยอีกด้วย นอกจากพบอะฟลาท็อกซินใน ถั่วลิสงแล้ว ยังพบได้ในพริกแห้ง ดังนั้นการป้องกันก็คือควรหลีกเลี่ยงถั่วลิสงป่นไว้เป็นเวลานาน ถั่วลิสงหรือพริกแห้งป่นที่มีความชื้น ถ้าไม่มั่นใจว่าแห้งสนิทและใหม่ไม่ควรกินเด็ดขาด
นอกจากก๋วยเตี๋ยวต่างๆ ข้างต้นแล้วปัจจุบันมีก๋วยเตี๋ยวอีกชนิดหนึ่งที่น่าจะส่งเสริมให้บริโภคกันมากขึ้น นั่นคือ “ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน” ซึ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่นำมาห่อผักชนิดต่างๆ ทั้งกะหล่ำปลีหั่นฝอย แครอต สะระแหน่ ผักชีฝรั่ง โหระพา ผักกาดหอม เป็นต้น ใส่หมูยอหรือหมูสับหั่นชิ้นพอคำ และมีน้ำจิ้มหรือน้ำราดที่มีลักษณะเหมือนน้ำยำ ทำจากน้ำปลา น้ำมะนาว พริกขี้หนูสดสับละเอียด น้ำตาลทราย กระเทียมสับ บางคนอาจใส่มะม่วงซอยด้วย ซึ่งการกินก๋วยเตี๋ยวลุยสวนนี้จะได้รับพลังงานต่ำ แต่ยังได้วิตามินและแร่ธาตุ ตลอดจนสารที่ไม่ใช่อาหารที่มีตามธรรมชาติ (สารพฤกษเคมี) ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพจากผักหลากชนิดที่ใส่ลงไป
การปรุงก๋วยเตี๋ยวลุยสวนก็ทำได้ง่ายๆ โดยซื้อก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ที่ยังไม่ได้หั่น แล้วเตรียมผักต่างๆ ข้างต้นนำมาล้างให้สะอาด กะหล่ำปลีควรแกะออกเป็นกาบแล้วจึงล้างแครอตปอกเปลือกออกแล้วซอยยาวๆ สะระแหน่และโหระพาเด็ดเป็นใบๆ ผักกาดหอมและผักชีฝรั่งล้างสะอาดแล้วเด็ดเป็นใบ เวลาห่อก็นำแผ่นก๋วยเตี๋ยวมาแผ่ออก นำผักกาดหอมทั้งใบและผักชีฝรั่ง 2 ใบ วางเรียงบนแผ่นก๋วยเตี๋ยวนำผักอื่นๆ ที่หั่นเตรียมไว้มาวางเรียงให้เต็มแผ่นก๋วยเตี๋ยว นำหมูยอที่หั่นตามยาวเท่าแผ่นก๋วยเตี๋ยว หนาประมาณ 1 เซนติเมตร มาวางเรียงบนผัก หากไม่ชอบหมูยออาจใช้หมูสับแทน แล้วห่อม้วนให้แน่น เวลาจะกินก็หั่นเป็นชิ้นพอคำ
สำหรับน้ำราดก็เตรียมเหมือนน้ำยำ คือนำพริกขี้หนูสวนและกระเทียมเล็กน้อยมาตำให้แหลก แล้วจึงเติมน้ำปลา (ต้องเป็นน้ำปลาแท้) น้ำตาลทราย และน้ำมะนาว ชิมรสชาติตามที่ชอบ ซึ่งจะต้องมีรสเปรี้ยว เค็ม เผ็ด หากซอยมะม่วงเปรี้ยวลงไปด้วยจะทำให้รสชาติอร่อยมากขึ้น ปัจจุบันมีพ่อค้าแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวลุยสวนบางเจ้าใช้หมูยอทอดแทนหมูยอนึ่ง ซึ่งจะทำให้ก๋วยเตี๋ยวลุยสวนมีพลังงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ก๋วยเตี๋ยวต่างๆ เป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยให้เรามีอาหารที่หลากหลายและให้ประโยชน์ต่อร่างกายได้ แต่จะให้ประโยชน์มากน้อย เหมาะสม และปลอดภัยต่อร่างกายเพียงใด ขึ้นอยู่กับตัวผู้บริโภคเองในการเลือกซื้อ เลือกกิน และเลือกปรุง
และเมื่อกล่าวถึงเรื่องเส้นๆ ของก๋วยเตี๋ยวแล้วก็อดที่จะกล่าวถึงผลิตภัณฑ์จากข้าวที่เป็นแผ่นๆ อย่างขนมปังไม่ได้
การกินขนมปังเป็นอาหารหลักเป็นวัฒนธรรมการบริโภคของชาวตะวันตก คนไทยเรานิยมกินข้าวเป็นอาหารหลัก เมื่อวัฒนธรรมตะวันตกแพร่กระจายเข้ามาเราก็รับเอาพฤติกรรมการกินขนมปังเข้ามา แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่นิยมบริโภคขนมปังเป็นอาหารหลัก มักจะกินกันเป็นของว่างมากกว่า มีบ้างที่นิยมกินขนมปังเป็นอาหารเช้า โดยเฉพาะคนที่นิยมกินอาหารเช้าแบบตะวันตก โดยกินขนมปังกับไข่ดาว ไส้กรอก และนมหรือกาแฟ ตลอดจนทำเป็นแซนวิช แต่ก็มักมีคำถามว่าจริงๆ แล้วกินข้าวหรือขนมปังอย่างไหนจะให้คุณค่ามากกว่ากัน
ขนมปังและข้าวต่างก็จัดอยู่ในกลุ่มข้าวแป้งและน้ำตาล ดังนั้นคุณค่าที่ได้รับจากข้าวและขนมปังก็คือสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย
เรากินขนมปัง 1 แผ่น จะเท่ากับกินข้าวประมาณ 1 ทัพพี ปาดเรียบ (สถาบันวิจัยโภชนาการศึกษาเรื่องปริมาณอาหารจากการใช้ทัพพีตักข้าวแต่ละชนิดพบว่า ชนิดทัพพีที่นิยมใช้ในการตักข้าวนั้น แม้ทัพพีจะมีรูปแบบแตกต่างกัน แต่ทัพพีแต่ละชนิดก็จะให้ปริมาณของข้าวแทบไม่แตกต่างกัน) และข้อปฏิบัติในการกินเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทยนั้นแนะนำว่า คนโดยทั่วไปในแต่ละวันควรกินข้าวประมาณ 8-12 ทัพพี ดังนั้น ถ้ามื้อไหนจะกินขนมปังก็ลองคำนวณดูอย่าให้กินเล่นเพลินจนได้รับพลังงานมากเกินไป
สำหรับประวัติของขนมปังนั้น กองควบคุมอาหาร สำนักงานอาหารและยาได้เรียบเรียงไว้ในหนังสือเกณฑ์การพิจารณาการอนุญาตใช้ฉลากอาหาร ขนมปัง ระบุไว้ว่าชาวสวิสที่อาศัยอยู่ตามทะเลสาบในยุคหินได้เป็นผู้ริเริ่มนำเมล็ดข้าวสาลีมาบดหยาบๆ ด้วยครก แล้วนำไปผสมกับน้ำ เทส่วนผสมลงไปบนหินร้อนๆ เพื่อให้สุก ผลที่ได้คือขนมปังขึ้นฟูโดยไม่ได้ตั้งใจ
นอกจากนี้ยังมีประวัติที่ยอมรับสืบเนื่องมาก็คือ พวกทาสในสมัยราชวงศ์อียิปต์ได้ผสมก้อนแป้งที่ลืมทิ้งไว้ลงในแป้งที่ผสมเสร็จใหม่ๆ ผลที่ได้คือขนมปังเบาและมีรสดี ความรู้เกี่ยวกับขนมปังจึงแพร่หลายจากอียิปต์สู่ภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียน ตะวันออกกลาง เปอร์เซีย กรีก ยุโรปตอนกลาง และได้มีวิวัฒนาการเกี่ยวกับเครื่องมืออุปกรณ์และวิธีการผลิตขนมปังมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมีความก้าวหน้าเป็นอุตสาหกรรม
สำหรับประเทศไทย ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 มีร้านขนมอบเพียงไม่กี่ร้าน เพราะคนไทยสมัยนั้นไม่ค่อยนิยม แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยก็มีร้านเบเกอรี่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะคนไทยได้รับอารายธรรมจากตะวันตกมากขึ้น และในช่วงสงครามเวียดนาม ร้านเบเกอรี่ยิ่งเปิดมากขึ้น เนื่องจากมีทหารอเมริกันมาพำนักในประเทศ
ขนมปังเป็นผลิตภัณฑ์ขนมอบที่ทำมาจากแป้งสาลี น้ำตาล ไขมัน เกลือ และน้ำหรือน้ำนม หรือน้ำผลไม้ ขนมปังบางชนิดใส่ยีสต์ด้วย แต่บางชนิดก็ไม่ใส่ยีสต์ ขนมปังโดยทั่วไปจึงสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ขนมปังที่ไม่ใส่จุลินทรีย์หรือผงฟู และขนมปังที่ใส่เชื้อจุลินทรีย์หรือผงฟู
ประกาศกระทรวงสาธารณสุขกำหนดให้ขนมปังในภาชนะปิดสนิทเป็นอาหารที่ต้องมีฉลาก และประกาศฉบับนี้ให้คำจำกัดความของคำว่าขนมปังว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากแป้งและหมักด้วยยีสต์ให้ขึ้นแล้วอบ ซึ่งอาจจะผสมวัตถุอื่นที่ไม่เป็นอันตรายแก่สุขภาพ เช่น ลูกพรุน ลูกเกด ช็อกโกแลต เป็นต้น ส่วนที่ผสมลงไปอาจปนเปื้อนเนื้อเดียวกันกับขนมปังหรือไม่ก็ได้ แต่ทั้งนี้ไม่รวมถึงขนมปังที่สอดไส้หรือใส่ไส้ ในท้องตลาดมักเรียกชื่อขนมปังโดยใช้ชื่อสามัญ เช่น ขนมปังฝรั่งเศส ขนมปังอังกฤษ ขนมปังหวาน ขนมปังลูกเกด ขนมปังช็อกโกแลต เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีขนมปังอีกชนิดหนึ่งที่นับว่าจะมีผู้นิยมมากขึ้นเรียกว่า “ขนมปังโฮลวีต” ซึ่งเป็นขนมปังที่ทำมาจากข้าวสาลีที่ไม่ขัดสี เนื้อขนมปังจึงมีลักษณะหยาบกว่าขนมปังโดยทั่วไป
จะเห็นได้ว่าการกินข้าวและขนมปังในปริมาณที่เท่ากันนั้น ข้าวจะให้พลังงานและไขมันน้อยกว่าขนมปังมาก เนื่องจากกรรมวิธีการผลิตขนมปังมีการใส่น้ำตาลและไขมันหรือนมสดลงไปด้วย และหากเป็นขนมปังที่มีการใส่ผลไม้ที่มีรสหวานหรือใส่ช็อกโกแลตก็ยิ่งทำให้ได้รับพลังงานเพิ่มมากขึ้นอีก ดังนั้นผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือระวังไม่ให้อ้วนคงต้องระวังไม่ให้กินขนมปังมากจนเกินไป หากจะกินขนมปังเป็นอาหารมื้อหลักแทนข้าวก็ควรกินเพียง 2-3 ทัพพี ต่อ 1 มื้อ ตามข้อปฏิบัติที่นักโภชนาการแนะนำ
ในเรื่องของการเลือกซื้อขนมปังนั้นก็ไม่แตกต่างจากอาหารชนิดอื่นเท่าไร ประการแรกคือต้องอ่านฉลากดูว่ามีเครื่องหมาย อย. ดูวันหมดอายุ ดูชื่อผู้ผลิตและสถานที่ผลิตขนมปังบางยี่ห้ออาจไม่ได้ระบุวันหมดอายุที่ฉลากหรือบนซอง แต่จะอยู่ที่แผ่นล็อกปากถุงซึ่งโดยทั่วไปขนมปังจะมีอายุประมาณ 7 วัน หลังการผลิต ดังนั้นการดูวันหมดอายุจึงสำคัญมาก ไม่ควรเลือกซื้อขนมปังที่ใกล้วันหมดอายุ เพราะอาจกินไม่หมดหรือไม่ทัน
ถ้าขนมปังที่ซื้อมามีการเก็บรักษาไม่ดี ขนมปังอาจขึ้นราได้ง่าย ซึ่งหากขนมปังในถุงเดียวกันขึ้นราเพียงแผ่นเดียวหรือ 2 แผ่น แล้วแผ่นอื่นๆ ไม่ขึ้นราก็ไม่แนะนำให้กิน ควรทิ้งเสียเพราะเราอาจได้รับสารพิษที่เชื้อราสร้างขึ้น ซึ่งสารพิษเหล่านี้มักมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และเมื่อจับจับถุงขนมปังจะต้องรู้สึกว่าขนมปังมีเนื้อนุ่ม ไม่แข็งกระด้าง
ปัจจุบันเรานิยมกินขนมปังมากขึ้น โดยนำมาดัดแปลงทำอาหารว่าง เช่น ทำขนมปังหน้าหมูหรือหน้าไก่ โดยนำเนื้อสัตว์ต่างๆ ดังกล่าวมาบดให้ละเอียด สับกระเทียม รากผักชี พริกไทยใส่ลงไป สับหอมใหญ่ใส่ ผสมกันแล้วจึงใส่ไข่ (ใช้ทั้งไข่แดงและไข่ขาว) น้ำปลาหรือซีอิ๊วขาว ถ้าชอบหวานก็ใส่น้ำตาลเล็กน้อย นำไปทาลงบนขนมปังที่ตัดไว้ (1 แผ่น ตัดได้ 4 หรือ 6 ชิ้น แล้วแต่ชอบขนาดเล็กหรือใหญ่) จากนั้นนำไปทอดในน้ำมันร้อนๆ ต้องคอยระวังเพราะจะไหม้ได้ง่าย ถ้าไม่อยากทอดอาจนำไปอบได้
นอกจากนี้ขนมปังยังทำเป็นขนมหวานได้อีกด้วย เช่น ขนมปังเย็น ซึ่งก็ทำได้ง่ายๆ โดยหั่นขนมปังเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ไว้ในถ้วยขนม ตักน้ำแข็งไสใส่ลงไปให้เต็มถ้วยขนมแล้วราดด้วยน้ำแดงและนมข้นหวานหรือนมสดตามชอบ บางคนนิยมนำน้ำแดง น้ำแข็ง และนมไปปั่นให้ละเอียด แล้วจึงนำมาราดบนขนมปัง ซึ่งสามารถดัดแปลงขนมปังอันเป็นอาหารแบบตะวันตกให้ออกมาเป็นแบบอาหารไทยได้
แบบฝึกหัดท้ายบท
ส่งคำตอบมี่ท Mail นี้นะค่ะ teachera_01@ hotmail.com
วิชา โภชนาการเบื้องต้น รหัส 2402-1002 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ
เรื่อง คาร์โบไฮเดรต (หนังสืออ่านเพิ่มเติมเรื่อง ข้าว...เมล็ดน้อยร้อยพันค่า)
ชื่อ-สกุล .............................................ชั้น........................เลขที่.................
ตอนที่ 1
คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ให้ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด
1. ข้าวหอมมะลิเป็นสายพันธุ์ข้าวที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศใด ?
.....................................................................
2. ข้าวที่ได้จากการขัดสีข้าวแบบโบราณเรียกว่าข้าวชนิดใด ?
.....................................................................
3. ข้าวที่ใช้ทำขนมนางเล็ดคือข้าวชนิดใด ?
....................................................................
4. ข้าวที่มีใยอาหารมากที่สุดคือข้าวชนิดใด ?
....................................................................
5. เนื้อหมูมีวิตามินบี 1 สูง เพราะเหตุใด ?
...................................................................
6. ข้าวสมุนไพรขมิ้นชันมีสีอะไร ?
..................................................................
7. เส้นบะหมี่ทำมาจากแป้งอะไร?
.................................................................
8. ก๋วยเตี๋ยวแห้งให้พลังงานสูงกว่าก๋วยเตี๋ยวน้ำ เพราะเหตุใด ?
.................................................................
9. ขนมปังมักเน่าเสียได้จากสาเหตุใด ?
...............................................................
10. การเพิ่มมูลค่าให้กับข้าวไทยทำได้อย่างไร ?
...............................................................
ตอนที่ 2
แบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง ข้าว...เมล็ดน้อยร้อยพันค่า
วิชาโภชนาการเบื้องต้น รหัส 2402-1002 ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ
คำชี้แจง ให้นักเรียนกาเครื่องหมาย O ทับตัวอักษรหน้าคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว
1. อาหารในข้อใดให้พลังงานสูงที่สุด ?
ก. ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า
ข. ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย
ค. ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน
ง. ก๋วยเตี๋ยวสมุนไพร
2. ข้าวชนิดใดกลิ่นหอมคล้ายใบเตย ?
ก. ข้าวมันปู
ข. ข้าวหอมมะลิ
ค. ข้าวซ้อมมือ
ง. ข้าวเหนียวเขี้ยวงู
3. ถ้าเรากินขนมปัง 1 แผ่น จะให้พลังงานเท่ากับกินข้าวกี่ทัพพี ?
ก. 1
ข. 2
ค. 3
ง. 5
4. ใครที่ควรกินข้าวมากที่สุด ?
ก. ผู้หญิงทำงานใช้แรงงาน
ข. ผู้ชายทำงานใช้แรงงาน
ค. ผู้หญิงทำงานนั่งโต๊ะ
ง. ผู้ชายทำงานนั่งโต๊ะ
5. ข้อใดแตกต่างจากข้ออื่น ?
ก. ข้าวเปลือก
ข. ข้าวกล้อง
ค. ข้าวเหนียว
ง. ข้าวญี่ปุ่น
6. ขนมปังที่ทำมาจากแป้งสาลีที่ไม่ขัดสีเรียกว่าอะไร ?
ก. ขนมปังโฮลวีต
ข. ขนมปังแซนวิช
ค. ขนมปังกรอบ
ง. ขนมปังหน้าหมู
7. ข้าวกล้องมีวิตามินใดมาก ?
ก. เอ
ข. บี
ค. ซี
ง. ดี
8. เครื่องปรุงรสก๋วยเตี๋ยวที่พบสารอะฟลาท็อกซินมากคือข้อใด ?
ก. พริกไทย
ข. น้ำปลา
ค. ถั่วลิสงป่น
ง. น้ำส้มพริกดอง
9. คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงานกี่แคลอรี ?
ก. 5
ข. 6
ค. 3
ข. 4
10. ข้าวในข้อใดให้คุณค่าทางโภชนาการสูงที่สุด ?
ก. ข้าวมันปู
ข. ข้าวญี่ปุ่น
ค. ข้าวกล้อง
ง. ข้าวซ้อมมือ











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น